
เปิดโอกาสธุรกิจไทยบุกตลาดกว่างซี กับสินค้าสัตว์น้ำเศรษฐกิจสุดฮอต
เมื่อใดที่ “กุ้งเครย์ฟิช” เริ่มวางขายในตลาดท้องถิ่น เมื่อนั้นชาวจีนจะรู้ทันทีว่า “ฤดูร้อน” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะ “เสี่ยวหลงเซีย” หรือกุ้งเครย์ฟิช ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเมนูยอดนิยมประจำหน้าร้อน ที่ไม่ว่าใครก็ต้องลิ้มลอง จนถึงขั้นถูกขนานนามว่า “ราชาแห่งอาหารค่ำของฤดูร้อน” ในประเทศจีน
กุ้งเครย์ฟิชคืออะไร?
“กุ้งเครย์ฟิช” หรือที่คนไทยคุ้นชื่อว่า “กุ้งก้ามแดง” มีลักษณะภายนอกละม้ายคล้ายล็อบสเตอร์ทะเล แต่มีขนาดเล็กกว่า และอาศัยอยู่ในน้ำจืด จึงมักถูกเรียกว่า “ล็อบสเตอร์น้ำจืด” เนื้อของกุ้งชนิดนี้มีสัมผัสแน่น เด้ง คล้ายเนื้อกั้งหรือปู เหมาะอย่างยิ่งกับการปรุงรสจัดจ้านตามสไตล์อาหารจีน โดยเฉพาะเมนูกุ้งผัดพริกเผา เสี่ยวหลงเซียต้าซ่าง หรือแบบหม้อไฟ
วิวัฒนาการจาก ‘สัตว์เลี้ยง’ สู่ ‘อุตสาหกรรมหมื่นล้าน’
กุ้งเครย์ฟิชในจีนเริ่มต้นจากการนำมาใช้เป็นอาหารกบ หรือสัตว์เลี้ยงสวยงาม แต่ภายในเวลาไม่กี่สิบปี กลับกลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ จนได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งในเชิงเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมการแปรรูป
ตามรายงานของ China Society of Fisheries ปี 2024 อุตสาหกรรมกุ้งเครย์ฟิชของจีนถือเป็นหนึ่งในภาคการเกษตรที่เติบโตเร็วที่สุด มีห่วงโซ่อุตสาหกรรมครบถ้วนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีมูลค่าการผลิตรวมสูงที่สุดในกลุ่มสัตว์น้ำจืด
ตัวเลขที่ต้องรู้: ศักยภาพตลาดกุ้งเครย์ฟิชในจีน (ปี 2566)
- พื้นที่เพาะเลี้ยง: 12.29 ล้านไร่ เพิ่มขึ้น 5.36% จากปีก่อนหน้า
– โดย 10.54 ล้านไร่ เป็นการเพาะเลี้ยงแบบผสมผสาน “กุ้งในนาข้าว” (Rice-Crayfish Co-farming)
- ปริมาณผลผลิตรวม: 3.161 ล้านตัน (+9.35%)
– ผลผลิตจากระบบเกษตรผสมผสานคิดเป็น 2.75 ล้านตัน
- การแปรรูป: 1.402 ล้านตัน (+15.24%) หรือ 44.36% ของผลผลิตรวม
– เติบโตสูงในกลุ่มสินค้า Ready to Cook และ Ready to Eat
กุ้งเครย์ฟิชมีผลผลิตสูงเป็นอันดับ 4 ของสัตว์น้ำจืดจีน รองจากปลากินหญ้า ปลาลิ่น และปลาหัวโต
จุดแข็งของ “กุ้งเครย์ฟิช” ที่ทำให้จีนหลงรัก
เลี้ยงง่าย โตเร็ว ใช้น้ำน้อย
สามารถขยายพันธุ์ได้โดยไม่ต้องใช้น้ำเค็ม และมีอัตรารอดชีวิตสูง
ผสมผสานกับการปลูกข้าวได้อย่างยั่งยืน
ข้าวช่วยดูดซับของเสียจากกุ้ง ขณะเดียวกันกุ้งก็ช่วยพรวนดิน
สร้างรายได้เร็ว
ให้ผลตอบแทนเร็วกว่าการปลูกข้าวถึง 10 เท่า ในหลายพื้นที่
ราคาดีในช่วงฤดูร้อน
– ต้นฤดู (มี.ค.–เม.ย.) และปลายฤดู (ก.ค.–ส.ค.) ราคาสูง
– กลางฤดู (พ.ค.–มิ.ย.) ราคาลดลงจากปริมาณที่มาก
– ฤดูหนาว (พ.ย.–ก.พ.) ขาดตลาด ราคาสูงอีกครั้ง
โอกาสของ “ธุรกิจไทย” ในตลาดจีน
หากฟาร์มไทยมองเห็นช่องว่างทางการตลาด สิ่งที่ควรวางแผนคือ
การส่งออก “ต่างฤดู” โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวของจีน ที่ผลผลิตภายในประเทศขาดตลาด เช่น พ.ย.–ก.พ. ซึ่งจะทำให้กุ้งจากไทย ขายได้ราคาดีขึ้น และไม่ต้องแข่งขันกับมณฑลใหญ่ เช่น หูเป่ย หรือเจียงซู การส่งออกกุ้งมีชีวิต ต้องผ่านด่านศุลกากรที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เช่น สนามบินอู๋ซวี นานหนิง (Nanning Wuxu International Airport) ซึ่งเคยมีประวัตินำเข้ากุ้งขาวแวนนาไมจากไทยมาก่อน
กว่างซี: เมืองแห่งโอกาสใหม่ของ “กุ้งเครย์ฟิช”
ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง เมือง กุ้ยผิง (Guiping) คือศูนย์กลางการเพาะเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช โดยใช้โมเดล
- เพาะเลี้ยงในแปลงนาข้าว
- เลี้ยงหลังฤดูเก็บเกี่ยว (พ.ย.–เม.ย.)
- เลี้ยงใต้แผงโซลาร์เซลล์
ทั้งหมดนี้ช่วยผลิตกุ้งนอกฤดู หลีกเลี่ยงการแข่งขันกับพื้นที่หลัก และขายได้ราคาดีกว่า
สร้างมูลค่าเพิ่มด้วย “เซเลเนียม” และ GI
เพื่อยกระดับราคาสินค้า เมืองกุ้ยก่างจึงพัฒนาแบรนด์ “กุ้งเครย์ฟิชเซเลเนียมสูง” (Selenium-rich Crayfish)
เนื่องจากดินในพื้นที่มีแร่ธาตุเซเลเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติ
- ต้านอนุมูลอิสระ
- ป้องกันโรคมะเร็ง
- ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด
แนวทางนี้เป็น “กิมมิก” ที่น่าสนใจมากสำหรับ ธุรกิจไทย ที่ต้องการสร้างความแตกต่างของสินค้า เช่นเดียวกับสินค้า GI ของไทย ได้แก่
- ไข่เค็มไชยา
- กาแฟดอยช้าง
- หมูย่างเมืองตรัง
- ส้มโอนครชัยศรี ฯลฯ
รัฐหนุนเต็มที่: เงินอุดหนุนการเลี้ยงกุ้งในนา
รัฐบาลกว่างซีออกมาตรการสนับสนุนเกษตรกรหลากหลายประเภท เช่น
- ขุดคูน้ำตื้นในแปลงนา: ไร่ละ ~4,800 หยวน
- ฟื้นฟูแปลงว่างฤดูหนาว: ไร่ละ ~2,880 หยวน
- เลี้ยงกุ้งในแปลงรากบัว: ไร่ละ ~1,920 หยวน
ราคาตลาด (2566) โดย Guipin Yongzhen Co., Ltd.
- ไซส์ใหญ่: 150 หยวน/กก. (~750 บาท)
- ไซส์กลาง: 80 หยวน/กก. (~400 บาท)
- ลูกกุ้ง/ไซส์เล็ก: 50 หยวน/กก. (~250 บาท)
“กุ้งเครย์ฟิช” คือโอกาสใหม่ที่ไม่ควรมองข้าม
แม้ตลาด “กุ้งเครย์ฟิชเซเลเนียมสูง” จะเป็น Niche Market แต่ตรงกับเทรนด์สุขภาพในจีน และกลุ่มผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูง ซึ่ง ไม่ตัดสินใจซื้อจากราคา แต่เลือกสินค้าจากคุณภาพ ความปลอดภัย และอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น
ธุรกิจไทยควรเร่งพัฒนา
- สายพันธุ์คุณภาพ
- ระบบเลี้ยงมาตรฐานส่งออก
- การแปรรูปพร้อมบริโภค
- การทำแบรนด์ที่ชัดเจน
- และเจาะช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์จีน เช่น Xiao Hong Shu หรือ Douyin
นี่อาจเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่กุ้งเครย์ฟิชไทย จะได้ “ตีตลาด” และ “ตีแตก” ที่จีนอย่างยั่งยืน
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่ We Bridge Marketing Solution