สินค้าจีนทะลักไทย! โอกาสหรือวิกฤต? เศรษฐกิจไทยจะรับมืออย่างไร?

คลื่นทุนจีน-สินค้าจีนทะลัก: ไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดไทยต้องเผชิญกับการหลั่งไหลของสินค้าจีนที่เข้ามาจำหน่ายในราคาต่ำ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สินค้าหลายประเภทที่เคยเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และเหล็ก กำลังถูกแทนที่ด้วยสินค้าจีนที่มีราคาถูกกว่า แล้วประเทศไทยจะสามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสได้อย่างไร?
 

ทำไมสินค้าจีนทะลักเข้ามา?

  1. กำลังการผลิตส่วนเกินของจีน

    • จีนมีกำลังการผลิตที่สูงเกินความต้องการภายในประเทศ ทำให้ต้องเร่งหาตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ
    • รัฐบาลจีนสนับสนุนการส่งออกผ่านนโยบายลดต้นทุนโลจิสติกส์ และอุดหนุนภาคการผลิต
  2. ผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ

    • การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ ทำให้ผู้ผลิตจีนต้องหาตลาดใหม่ จึงมุ่งเน้นการขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทย
  3. อีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

    • แพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น Alibaba, Shein และ Temu ทำให้สินค้าจีนเข้าถึงตลาดไทยได้ง่ายขึ้น
    • ค่าขนส่งที่ต่ำลงและเทคโนโลยีโลจิสติกส์ที่พัฒนา ช่วยให้สินค้าสามารถขนส่งข้ามประเทศได้สะดวกและรวดเร็ว
  4. นโยบายสนับสนุนของรัฐบาลจีน

    • จีนใช้นโยบายคืนภาษีให้ผู้ส่งออก และให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทที่ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศ
 

 

ผลกระทบต่อไทย

สินค้าจีนที่เข้ามาทำให้หลายอุตสาหกรรมของไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะ
  • อุตสาหกรรมเหล็ก: เหล็กจีนราคาถูกกดดันผู้ผลิตไทย ทำให้หลายโรงงานต้องปิดตัวลง
  • เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: แบรนด์จีนอย่าง Xiaomi และ Hisense เข้ามาตีตลาดไทยด้วยคุณภาพที่ดีและราคาถูก
  • เฟอร์นิเจอร์: เฟอร์นิเจอร์จากจีนที่ผลิตเป็นจำนวนมาก สามารถขายในราคาต่ำกว่าผู้ผลิตไทย
  • อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้า: แบรนด์จีนเช่น Shein และ Temu สามารถเสนอสินค้าที่ถูกกว่าและมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
 

ไทยจะรับมืออย่างไร?

แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้น แต่ไทยยังมีโอกาสในการปรับตัวและใช้กลยุทธ์เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของตลาดในประเทศ

1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

  • ตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้เป็นไปตามมาตรฐานของไทย
  • ป้องกันสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตในประเทศ

2. ปรับปรุงกฎระเบียบและข้อบังคับ

  • บังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์จีน เช่น Shopee, Lazada, และ Temu จดทะเบียนในประเทศไทย เพื่อให้สามารถเก็บภาษีและกำกับดูแลได้
  • กำหนดให้ร้านค้าจีนที่จำหน่ายในไทยต้องจดทะเบียนธุรกิจอย่างเป็นทางการ

3. มาตรการภาษีและการป้องกันการทุ่มตลาด

  • กำหนดให้ผู้ขายจากจีนที่ขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องจ่าย VAT
  • ตรวจสอบและกำกับดูแลสินค้าจีนที่เข้ามาเพื่อป้องกันการทุ่มตลาดที่ไม่เป็นธรรม

4. สนับสนุนผู้ประกอบการไทย

  • รัฐบาลต้องช่วยเหลือ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันได้ ผ่านการให้เงินทุนสนับสนุนและอบรมด้านเทคโนโลยี
  • ผลักดันให้ผู้ผลิตไทยพัฒนาสินค้าที่มีเอกลักษณ์ แตกต่างจากสินค้าจีน และมุ่งเน้นตลาดระดับพรีเมียม
  • ส่งเสริมให้ธุรกิจไทยใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติในการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ

5. ความร่วมมือระหว่างประเทศ

  • สร้างความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนเพื่อกำหนดมาตรการควบคุมสินค้านำเข้า
  • ขยายตลาดส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป
 
 

จีนกำลังเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจ

ขณะที่สินค้าจีนยังคงทะลักเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รัฐบาลจีนเริ่มให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งออกและตลาดภายใน
  • จีนพยายามลดการพึ่งพาการส่งออก และกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น
  • มีแนวโน้มว่าการส่งออกสินค้าราคาถูกจะลดลงในระยะยาว แต่ในระยะสั้น ไทยยังต้องเตรียมรับมือกับสินค้าจีนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
 
แม้สินค้าจีนจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับตลาดไทย แต่ก็เป็นโอกาสให้ธุรกิจไทยปรับตัวและพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น หากมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมและการสนับสนุนที่เพียงพอจากภาครัฐ SMEs ไทยยังสามารถแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว
 
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ ปรึกษาได้ที่ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน We Bridge Marketing Solution
Share with your network!
Facebook
Twitter
LinkedIn