
คลื่นทุนจีน-สินค้าจีนทะลัก: ไทยพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างไร?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดไทยต้องเผชิญกับการหลั่งไหลของสินค้าจีนที่เข้ามาจำหน่ายในราคาต่ำ ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ได้รับผลกระทบอย่างหนัก สินค้าหลายประเภทที่เคยเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และเหล็ก กำลังถูกแทนที่ด้วยสินค้าจีนที่มีราคาถูกกว่า แล้วประเทศไทยจะสามารถพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสได้อย่างไร?
ทำไมสินค้าจีนทะลักเข้ามา?
กำลังการผลิตส่วนเกินของจีน
- จีนมีกำลังการผลิตที่สูงเกินความต้องการภายในประเทศ ทำให้ต้องเร่งหาตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ
- รัฐบาลจีนสนับสนุนการส่งออกผ่านนโยบายลดต้นทุนโลจิสติกส์ และอุดหนุนภาคการผลิต
ผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ
- การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนโดยสหรัฐฯ ทำให้ผู้ผลิตจีนต้องหาตลาดใหม่ จึงมุ่งเน้นการขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทย
อีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว
- แพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ เช่น Alibaba, Shein และ Temu ทำให้สินค้าจีนเข้าถึงตลาดไทยได้ง่ายขึ้น
- ค่าขนส่งที่ต่ำลงและเทคโนโลยีโลจิสติกส์ที่พัฒนา ช่วยให้สินค้าสามารถขนส่งข้ามประเทศได้สะดวกและรวดเร็ว
นโยบายสนับสนุนของรัฐบาลจีน
- จีนใช้นโยบายคืนภาษีให้ผู้ส่งออก และให้เงินสนับสนุนแก่บริษัทที่ต้องการขยายตลาดไปต่างประเทศ
ผลกระทบต่อไทย
สินค้าจีนที่เข้ามาทำให้หลายอุตสาหกรรมของไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะ
- อุตสาหกรรมเหล็ก: เหล็กจีนราคาถูกกดดันผู้ผลิตไทย ทำให้หลายโรงงานต้องปิดตัวลง
- เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: แบรนด์จีนอย่าง Xiaomi และ Hisense เข้ามาตีตลาดไทยด้วยคุณภาพที่ดีและราคาถูก
- เฟอร์นิเจอร์: เฟอร์นิเจอร์จากจีนที่ผลิตเป็นจำนวนมาก สามารถขายในราคาต่ำกว่าผู้ผลิตไทย
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้า: แบรนด์จีนเช่น Shein และ Temu สามารถเสนอสินค้าที่ถูกกว่าและมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น
ไทยจะรับมืออย่างไร?
แม้ว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้น แต่ไทยยังมีโอกาสในการปรับตัวและใช้กลยุทธ์เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของตลาดในประเทศ
1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
- ตรวจสอบคุณภาพสินค้านำเข้าให้เป็นไปตามมาตรฐานของไทย
- ป้องกันสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาสร้างความเสียหายต่อผู้บริโภคและผู้ผลิตในประเทศ
2. ปรับปรุงกฎระเบียบและข้อบังคับ
- บังคับให้แพลตฟอร์มออนไลน์จีน เช่น Shopee, Lazada, และ Temu จดทะเบียนในประเทศไทย เพื่อให้สามารถเก็บภาษีและกำกับดูแลได้
- กำหนดให้ร้านค้าจีนที่จำหน่ายในไทยต้องจดทะเบียนธุรกิจอย่างเป็นทางการ
3. มาตรการภาษีและการป้องกันการทุ่มตลาด
- กำหนดให้ผู้ขายจากจีนที่ขายในแพลตฟอร์มออนไลน์ต้องจ่าย VAT
- ตรวจสอบและกำกับดูแลสินค้าจีนที่เข้ามาเพื่อป้องกันการทุ่มตลาดที่ไม่เป็นธรรม
4. สนับสนุนผู้ประกอบการไทย
- รัฐบาลต้องช่วยเหลือ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันได้ ผ่านการให้เงินทุนสนับสนุนและอบรมด้านเทคโนโลยี
- ผลักดันให้ผู้ผลิตไทยพัฒนาสินค้าที่มีเอกลักษณ์ แตกต่างจากสินค้าจีน และมุ่งเน้นตลาดระดับพรีเมียม
- ส่งเสริมให้ธุรกิจไทยใช้เทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติในการผลิต เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
5. ความร่วมมือระหว่างประเทศ
- สร้างความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนเพื่อกำหนดมาตรการควบคุมสินค้านำเข้า
- ขยายตลาดส่งออกของไทยไปยังภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลางและยุโรป
จีนกำลังเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจ
ขณะที่สินค้าจีนยังคงทะลักเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ รัฐบาลจีนเริ่มให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการส่งออกและตลาดภายใน
- จีนพยายามลดการพึ่งพาการส่งออก และกระตุ้นให้ประชาชนใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น
- มีแนวโน้มว่าการส่งออกสินค้าราคาถูกจะลดลงในระยะยาว แต่ในระยะสั้น ไทยยังต้องเตรียมรับมือกับสินค้าจีนที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
แม้สินค้าจีนจะเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับตลาดไทย แต่ก็เป็นโอกาสให้ธุรกิจไทยปรับตัวและพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น หากมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสมและการสนับสนุนที่เพียงพอจากภาครัฐ SMEs ไทยยังสามารถแข่งขันและเติบโตได้ในระยะยาว
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ ปรึกษาได้ที่ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน We Bridge Marketing Solution