รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน: จากฝันสู่ทางราง เชื่อมเศรษฐกิจ เชื่อมภูมิภาค
ในบรรดาโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ “รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน” คือหนึ่งในเมกะโปรเจกต์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในรอบหลายปี ทั้งเพราะเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือระดับภูมิภาค และเพราะมันคือจิ๊กซอว์ตัวสำคัญของระบบคมนาคมและเศรษฐกิจไทยในอนาคต
โครงการนี้อยู่ภายใต้กรอบ Belt and Road Initiative (BRI) หรือ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ที่มีเป้าหมายยกระดับการเชื่อมโยงของประเทศในภูมิภาคเอเชีย หนึ่งในนั้นคือการผลักดันเครือข่ายทางรางให้กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของการค้า การลงทุน และการเดินทาง
แม้จะผ่านอุปสรรคมาหลายระลอก ตั้งแต่ขั้นตอนเวนคืน ปรับแบบ ปรับแผน ยันเสียงวิจารณ์เรื่องงบที่บานปลาย โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ก็ยังเดินหน้าต่อ และล่าสุดมีการปรับแผนใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง โดยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การดูแลของ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศเป้าหมายให้บริการเฟสแรกได้ภายในปี 2572 และเปิดตลอดเส้นทางถึงหนองคายในปี 2574
กรุงเทพฯ – หนองคาย: ทางรางเชื่อมใจเศรษฐกิจอาเซียน
โครงการแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ระยะ
- ระยะที่ 1: กรุงเทพฯ – นครราชสีมา (250.77 กม.)
- ระยะที่ 2: นครราชสีมา – หนองคาย (357.12 กม.)
ในเฟสแรก รัฐบาลไทยลงทุนเองทั้งหมดกว่า 179,000 ล้านบาท และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2560 ถึงตอนนี้ ผ่านไปกว่า 7 ปี ยังสร้างเสร็จเพียง 2 สัญญา จากทั้งหมด 14 สัญญา
ล่าสุด (กลางปี 2568) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ระบุว่า ความคืบหน้างานโยธารวมของเฟสแรกอยู่ที่ 45.65% ล่าช้ากว่าแผนไปราว 18% โดยยังเหลือ 10 สัญญาที่ยังก่อสร้างอยู่ และอีก 2 สัญญาที่ยังเริ่มไม่ได้ ได้แก่
- สัญญา 4-1 (บางซื่อ-ดอนเมือง) ซึ่งต้องรอการเจรจาสัญญาร่วมกับโครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน
- สัญญา 4-5 (บ้านโพ-พระแก้ว) ที่ติดเรื่องการออกแบบไม่ให้กระทบกับทัศนียภาพของโบราณสถานอยุธยา
เฟสแรกจะใช้ขบวนรถ Fuxing Hao รุ่น CR300AF จากจีน ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. รองรับผู้โดยสาร 594 ที่นั่ง เดินทางจากกรุงเทพฯ-โคราช ได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง
ส่วนเฟสที่ 2 ซึ่งใช้เงินลงทุนอีกกว่า 341,000 ล้านบาท ได้รับอนุมัติโครงการแล้ว กำลังเตรียมประกวดราคา โดยคาดว่าจะเปิดใช้งานในปี 2574
หากโครงการสำเร็จ ผู้โดยสารจะสามารถเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปถึงหนองคายได้ภายใน 3 ชั่วโมง 28 นาที และเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟลาว-จีน ไปจนถึงตอนใต้ของจีนได้แบบไร้รอยต่อ
เอกชนร่วมทุน PPP หนุนระบบเดินรถ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดภาระรัฐ รฟท.เตรียมเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในระบบเดินรถและซ่อมบำรุงตลอดสาย (PPP) โดยให้ภาคเอกชนเข้ามารับสัมปทานระยะยาว 30 ปี ตั้งแต่การติดตั้งระบบราง ระบบไฟฟ้า ขบวนรถ ไปจนถึงซ่อมบำรุงตลอดอายุสัญญา
แผนเบื้องต้นจะเปิดรับฟังความเห็นภาคเอกชนในเดือนตุลาคม 2568 เสนอกระทรวงคมนาคมในเดือนธันวาคม ก่อนเสนอ ครม. และเริ่มคัดเลือกเอกชนได้ภายในปี 2569 โดยจะลงนามในปี 2570 และทดสอบเดินรถภายในปี 2572
ทั้งนี้ เอกชนไทยที่มีประสบการณ์ระบบรางราว 2-3 ราย มีแนวโน้มได้ร่วมลงทุน ขณะที่ทุนจีนแสดงความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์เชื่อมจีน-อาเซียน
ไม่ใช่แค่รถไฟ แต่คือโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่
อดีตนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กล่าวในเวทีสัมมนา 50 ปีไทย-จีน ว่า โครงการนี้ไม่ใช่แค่เรื่องคมนาคม แต่คือ “ยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ” ของทั้งภูมิภาค โดยเฉพาะในด้าน “อาหาร” ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย หากเส้นทางรางนี้เชื่อมถึงจีนได้อย่างสมบูรณ์ จะสามารถลำเลียงสินค้าไทยโดยเฉพาะเกษตรและอาหารไปถึงจีนได้รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และมีโอกาสมากขึ้นในเวทีโลก
เศรษฐายังย้ำว่า แม้รถไฟจะเร็วแค่ไหน ถ้าระบบราชการชายแดนยังช้า ไม่มี One Stop Service จริง ก็อาจทำให้ขนส่งสินค้าไม่ทันเวลา พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐปรับระบบหลังบ้านให้ทันสมัยคู่ขนานกันไปด้วย
นักวิชาการเชียร์ แต่ยังห่วงจุดอ่อน
ด้านนักวิชาการอย่าง ดิสพล ผดุงกุล จากวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ มองว่า หากรัฐสามารถเร่งรัดงานระบบ (ระบบราง-ไฟฟ้า-ขบวนรถ) ได้ทันตามแผน โครงการนี้จะเป็นหมัดเด็ดที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางรถไฟตัดผ่านเมืองใหญ่อย่างโคราช ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย ที่ล้วนมีศักยภาพในการใช้บริการจำนวนมาก
แม้ต้นทุนการก่อสร้างจะสูง แต่หากรัฐจัดการดี มีแผนบริหารเดินรถชัดเจน โอกาสสร้างผลตอบแทนกลับคืนในระยะยาวย่อมเกิดขึ้นได้
รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ “การเดินทางเร็วขึ้น” แต่มันคือโครงสร้างพื้นฐานที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องเศรษฐกิจ โลจิสติกส์ และความร่วมมือในภูมิภาค ถ้าทำได้สำเร็จตามแผน มันจะไม่ใช่แค่รถไฟเส้นหนึ่ง แต่คือทางรางของอนาคต ที่เชื่อมไทยสู่เวทีโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่กดคลิ๊กที่นี่ → We Bridge Marketing Solution





