
ปลาสวยงามไทยโกอินเตอร์! ขึ้นแท่นอันดับ 3 ในจีน รัฐบาลเดินหน้าเจาะตลาดผู้เลี้ยงปลาระดับไฮเอนด์ พร้อมดันสู่เวทีโลก
ตลาดปลาสวยงามกำลังมาแรง และข่าวดีก็คือ… “ไทย” ขึ้นแท่นผู้ส่งออกอันดับ 3 ของตลาดนำเข้าปลาสวยงามในจีนไปเรียบร้อยแล้ว! รัฐบาลไม่รอช้า เตรียมใช้จังหวะนี้เร่งต่อยอด ส่งเสริมการส่งออก และดันปลาสวยงามไทยให้เป็นหนึ่งใน Soft Power ตัวใหม่ ที่น่าจับตามองไม่น้อยเลย
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ได้ติดตามลู่ทางการค้าระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการส่งออกปลาสวยงามไปยังจีน ซึ่งล่าสุดพบว่า อุตสาหกรรมปลาสวยงามของจีนเติบโตต่อเนื่องจนกลายเป็นตลาดระดับหมื่นล้านหยวน หรือราว 4.76 หมื่นล้านบาท โดยปลาสวยงามน้ำจืดถือเป็นตลาดหลักของจีน คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 85% ของตลาดปลาสวยงามทั้งหมด
จีนมีเขตอุตสาหกรรมปลาสวยงามหลักอยู่ 2 โซนใหญ่ ได้แก่ ชายฝั่งทะเลตะวันออกและใต้ (มณฑลกวางตุ้ง เจียงซู ซานตง) และภาคเหนือ (ปักกิ่ง เทียนจิน จี๋หลิน) ทำให้โอกาสการกระจายสินค้าในประเทศมีค่อนข้างกว้าง ที่สำคัญ ผู้บริโภคจีนยังมีพฤติกรรมที่น่าสนใจ โดยส่วนใหญ่นิยมเลี้ยงปลาขนาดเล็กบนโต๊ะทำงาน ทั้งเพื่อลดความเครียด (42%) ตกแต่ง (16%) และเป็นความชอบส่วนตัว (15%)
และนี่คือจุดที่ไทยควรเร่งเข้าไปตีตลาดให้หนักขึ้น — จากข้อมูลการค้าระหว่างประเทศปี 2567 จีนมีมูลค่านำเข้าปลาสวยงามกว่า 27.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,000 ล้านบาท) โดยไทยครองอันดับ 3 รองจากอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีและสะท้อนความเชื่อมั่นใน “คุณภาพปลาไทย”
โดยเฉพาะ “ปลากัด” ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของไทย เพราะนอกจากจะมีสีสันสวยงาม ท่าทางว่ายน้ำที่พลิ้วไหวเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีสายพันธุ์หลากหลายที่ได้รับความนิยม เช่น ปลากัดจีน ปลากัดฮาฟมูน ปลากัดหางมงกุฎ ปลากัดยักษ์ รวมถึง “ปลาเสือตอไทย” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งในกลุ่มนักเลี้ยงปลาระดับไฮเอนด์ในจีน
อีกสายพันธุ์ที่กำลังถูกจับตามองคือ “ปลาทองหัวสิงห์ไทย” ที่กำลังเป็นดาวรุ่งในตลาดจากรูปลักษณ์แปลกตา และมีคุณภาพการเพาะเลี้ยงที่เริ่มได้รับความสนใจในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ของจีน
แม้โอกาสจะเปิดกว้าง แต่ก็มีความท้าทายที่ไทยต้องรีบปรับตัวเช่นกัน ทั้งเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์ให้หลากหลายขึ้น การตอบโจทย์รสนิยมเฉพาะกลุ่มของผู้เลี้ยงปลาชาวจีน และที่สำคัญคือ ต้องหาทางจัดการ “ระยะเวลาขนส่ง” ที่นาน ซึ่งส่งผลต่ออัตราการรอดชีวิตของปลาในระหว่างเดินทางได้โดยตรง
ภาครัฐเองก็ไม่อยู่เฉย นายอนุกูลย้ำว่า รัฐบาลพร้อมหนุนเต็มที่ โดยมีกลยุทธ์ชัดเจนในการสร้างชื่อเสียงให้ปลาสวยงามไทยผ่าน 3 ช่องทางหลัก:
- การออกบูธและร่วมแสดงสินค้าในงานนานาชาติ
- การขยายตลาดในประเทศเป้าหมาย ผ่านทูตพาณิชย์
- การทำแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดียจีนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ เพื่อให้ “ปลาสวยงามไทย” กลายเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการในตลาดจีน รวมถึงตลาดโลกในอนาคต
ใครที่อยู่ในวงการเพาะพันธุ์หรือส่งออกปลาสวยงาม ถึงเวลาต้องจับตาโอกาสนี้ให้ดี และอาจถึงเวลารุกตลาดจีนอย่างจริงจังแล้วก็เป็นได้!
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่ We Bridge Marketing Solution