
ทุเรียนไทยติดลมบน ส่งตรงจีนทางราง! เส้นทางใหม่ “มาบตาพุด-ฉงชิ่ง” ลุยตลาดใหญ่ ปลอดเสี่ยงกว่าเดิมหลายเท่า
“ทุเรียน” ไม่ได้แค่เป็นราชาผลไม้ แต่ยังกลายเป็นอาวุธลับใหม่ของไทยในสนามส่งออกระดับภูมิภาค ล่าสุดกรมการขนส่งทางราง ผนึกกำลังบริษัทเอกชน เปิดขบวนรถไฟสายตรง “มาบตาพุด–ฉงชิ่ง” เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ พร้อมส่งราชาทุเรียนไทยบุกแดนมังกรด้วยระยะทางกว่า 1,750 กม. ใช้เวลาเพียง 4 วัน – ลดปัญหาหน้าด่านที่เคยเป็นจุดอ่อนสำคัญของระบบขนส่งผลไม้ไทยในอดีต!
ทำไม “รถไฟ” ถึงกลายเป็นดาวรุ่งในสนามส่งออก?
ที่ผ่านมาไทยเน้นการขนส่งทุเรียนไปจีนทางถนนและทางเรือ ซึ่งทั้งสองทางต่างก็มีปัญหาของตัวเอง ทั้งความล่าช้าหน้าด่าน (โดยเฉพาะชายแดนลาว-จีน) และต้นทุนสูง รวมถึงความเสี่ยงที่ผลไม้จะเน่าเสียจากระยะเวลาเดินทางที่นานเกินไป
แต่วันนี้ รถไฟกลายเป็นพระเอกของเรื่อง
- เดินทางเร็วกว่าเรือ
- เสี่ยงน้อยกว่าเส้นทางถนน
- รองรับปริมาณมาก
- ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า 64.6%
นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ระบุว่า การใช้รถไฟขนทุเรียนเป็นทางเลือกยุทธศาสตร์ใหม่ที่ปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตทุเรียนในปี 2568 ขึ้นถึง 1.767 ล้านตัน หรือเพิ่มจากปีก่อนถึง 37% ซึ่งลำพังระบบขนส่งแบบเดิม อาจไม่สามารถรองรับได้ทั้งหมด
เส้นทางใหม่: มาบตาพุด-ฉงชิ่ง ผ่านไทย-ลาว-จีน
รถไฟขนทุเรียนออกจากสถานี มาบตาพุด จ.ระยอง ผ่าน ศรีราชา-ฉะเชิงเทรา-คลอง 19-แก่งคอย-นครราชสีมา-หนองคาย ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาวที่หนองคายเข้าสู่ Vientiane Logistics Park (VLP) เพื่อผ่านพิธีศุลกากร ก่อนเดินทางผ่าน บ่อเต็น (สปป.ลาว) ไปถึง โม่ฮาน (จีน) และกระจายเข้าสู่เมืองต่างๆ ทั่วจีน
เส้นทางนี้ถือเป็นสายทองคำ เพราะ…
- ใกล้แหล่งผลิตหลักในภาคตะวันออก
- ไม่ผ่านด่านถนนที่เสี่ยงต่อความล่าช้า
- รองรับสินค้าประเภทอื่นเพิ่มได้ เช่น ปิโตรเคมี อิเล็กทรอนิกส์ แร่ เกลือ ฯลฯ
ส่งออกทุเรียน: ตลาดจีนยังใหญ่ไม่หยุด!
จีนยังคงเป็น “ลูกค้ารายใหญ่” ของทุเรียนไทย คิดเป็น 97% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ทุเรียนไทยทำรายได้รวมกว่า 157,506 ล้านบาท โดยเฉพาะทุเรียนสดในเดือน พ.ค. ปีเดียว ทำเงินไปกว่า 43,000 ล้านบาท
ด้วยความต้องการที่ไม่มีวี่แววว่าจะลดลง บวกกับการที่ผลผลิตกำลังพุ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภาครัฐและเอกชนไทยต้องเร่งหา “ทางด่วน” ที่เร็วกว่าและมั่นคงกว่า ซึ่งก็คือ “รางเหล็ก” นี่เอง
รถไฟขนทุเรียนไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กำลังจะใหญ่กว่าเดิม!
- ปี 2566: ไทยส่งผลไม้ทางราง 708 ตู้คอนเทนเนอร์ (ประมาณ 17,700 ตัน)
- ปี 2567: เพิ่มขึ้นเป็น 1,108 ตู้คอนเทนเนอร์ (ประมาณ 27,700 ตัน)
- ปี 2568: ตั้งเป้าขนทุเรียนทางรางให้ได้ 23,000 ตัน
หากบรรลุตัวเลขนี้ จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1,610 ตัน หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ใหม่ 26,680 ต้น ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
รฟท. เตรียมเสริมทัพ! ลุยจัดซื้อ “แคร่บรรทุก” 946 คัน
เพื่อรองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น การรถไฟแห่งประเทศไทยเตรียมลงทุนกว่า 2,400 ล้านบาท จัดหาแคร่ขนสินค้าอีก 946 คัน คาดเริ่มทยอยรับล็อตแรกประมาณ 300 คันในช่วง กลางปี 2569
หากแผนนี้สำเร็จ จะเพิ่มศักยภาพการขนส่งสินค้าทางรางได้อีกอย่างน้อย 10% ถือเป็นตัวเร่งสำคัญของระบบโลจิสติกส์ไทยในเวทีโลก
ทุเรียนจะไปไกลแค่ไหน? คำตอบคือ “ไปได้ไกลเท่าระบบรางไทยจะพาไป”
การที่ทุเรียนไทยจะยึดครองตลาดจีนได้อย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่เรื่องของคุณภาพผลไม้หรือราคาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ ระบบหลังบ้านที่แข็งแรง ซึ่งการขนส่งทางรางกำลังพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไทยสามารถปรับตัวและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานให้ทันต่อโอกาสใหม่ๆ ได้ทันเวลา
และหากแผนทั้งหมดนี้เดินหน้าต่อไปได้ราบรื่น ภายในไม่กี่ปี เราอาจได้เห็น ขบวนทุเรียนไทยวิ่งสู่จีนทุกฤดูกาล ไม่ใช่แค่ในช่วงพีคของเดือนพฤษภาคม
อยากรู้ว่าทุเรียนไทยจะครองตลาดจีนได้แค่ไหน? ติดตามพัฒนาการระบบรางของไทยไว้ให้ดี เพราะเส้นทางนี้… อาจพาเกษตรกรไทยไปรวยถึงแดนมังกร!
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่ We Bridge Marketing Solution