เมื่อสินค้าจีนไม่ใช่แค่ “คู่แข่ง” แต่กำลังเปลี่ยนเกมค้าปลีกไทย

สินค้าจีนทะลักไทย ค้าปลีกจะอยู่รอดได้ ต้อง “ตั้งรับให้ทัน รุกให้ไว ปรับให้ตรงจุด”

ถ้าปี 2567 คือบททดสอบ ปี 2568 ก็คือสนามรบของค้าปลีกไทย
และคู่แข่งที่ต้องจับตามองมากที่สุด ไม่ใช่แค่ “รายใหญ่ในประเทศ” แต่คือ “สินค้าจากจีน” ที่กำลังทะลักเข้ามาแรงกว่าทุกปี
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ใหม่ แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “ความรุนแรง” และ “ความเร็ว” ของการรุกตลาดไทยผ่านสินค้านำเข้าราคาต่ำจากจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังผันผวน และผู้บริโภคไทยเริ่ม “เน้นของถูก” มากกว่าคุณภาพ
 

สินค้าจีนไม่ได้แค่บุกตลาดไทย แต่กำลังล้อมไทยทุกทาง

ตั้งแต่ปี 2562-2567 มูลค่านำเข้าสินค้าจากจีนพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ปี 2562: 50,270 ล้านดอลลาร์
  • ปี 2564: 66,553 ล้านดอลลาร์
  • ปี 2566: 70,800 ล้านดอลลาร์
  • แค่ ม.ค.-ส.ค. 2567: ทะลุ 55,036 ล้านดอลลาร์แล้ว
ยังไม่รวมเม็ดเงินจาก “นักลงทุนจีน” ที่เข้ามาตั้งกิจการกว่า 430 โครงการในปีเดียว และการใช้ไทยเป็น “ประเทศทางผ่าน” ในการ Re-export ไปยังสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงกำแพงภาษีทรัมป์ ซึ่งตอนนี้อัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนไปสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง 37%
 

ถูก และ ท่วมตลาด = สูตรลับของจีนที่กำลังทำลายค้าปลีกไทยแบบช้าๆ แต่ชัวร์

สินค้า Oversupply จากจีนไหลทะลักเข้าไทย ทั้งในช่องทางอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มข้ามชาติ และร้านค้ารายย่อย
สินค้าที่เข้ามาส่วนใหญ่คือของที่ผลิตในปริมาณมหาศาล ราคาถูก คุณภาพต่ำ
เช่น
  • อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ราคาถูก
  • เครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นเล็ก
  • ของแต่งบ้าน ของเล่น และแอคเซสซอรี่
  • สินค้าแฟชั่นเร็ว (fast fashion) ที่ผลิตแบบล็อตใหญ่
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการไทยมีทั้ง ทางตรง (แข่งราคาไม่ได้, โดนแย่งตลาด) และ ทางอ้อม (กลายเป็นฐานให้จีนใช้ส่งออกไปประเทศอื่น แต่ตัวเราไม่ได้เงิน)
 

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผย: ค้าปลีกจะรอด ต้อง “ตั้งรับให้ทัน รุกให้ไว ปรับให้ตรงจุด”

1. ตั้งรับ: คัดกรองให้เข้ม – บล็อกของไร้มาตรฐานตั้งแต่หน้าด่าน
  • ตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% แทนการสุ่ม
  • ใช้ระบบตรวจสอบอัตโนมัติ เช่น QR มอก., ฉลากภาษาไทย
  • ปราบปรามร้านค้าปลอมที่สวมสิทธิ์คนไทย (นอมินี) เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ศูนย์เหรียญ
  • ป้องกันการใช้ไทยเป็นฐาน Re-export ที่บิดเบือนดุลการค้า
2. รุกกลับ: ปรับกฎหมาย-ขึ้นภาษีสินค้าออนไลน์แบบถาวร
  • เก็บ VAT สินค้าออนไลน์นำเข้าตั้งแต่บาทแรก (ของต่ำกว่า 1,500 บาทก็ไม่ยกเว้น)
  • ออกกฎหมายเฉพาะสำหรับอีคอมเมิร์ซข้ามชาติที่ขายของราคาถูกไม่ได้มาตรฐาน
  • เชื่อมระบบกับหน่วยงานรัฐ เช่น สมอ., อย. เพื่อควบคุมคุณภาพอัตโนมัติ
  • ออกมาตรการเฉพาะเพื่อรับมือสินค้า Oversupply ที่จะกระทบ SME ไทย
3. ปรับตัว: หยุดแข่งด้านราคา หันมาใส่ Value และเทคโนโลยีแทน
  • เพิ่มมูลค่าในสินค้า เช่น บริการหลังการขาย การรับประกัน การดีไซน์ที่แตกต่าง
  • ใช้ AI, Big Data เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายให้ตรง
  • ผนวกระบบออนไลน์-ออฟไลน์ให้ทำงานร่วมกันเป็น Ecosystem เดียว
  • เน้นแบรนด์ที่ยั่งยืนและรักษ์โลก เพราะ Gen Z กำลังให้ความสำคัญมากขึ้น

 

ปี 2568: โอกาสซ่อนอยู่ในความวุ่นวาย

แม้จะมีความท้าทาย แต่สมาคมผู้ค้าปลีกไทยยังเห็นเทรนด์สำคัญที่ธุรกิจค้าปลีกควรเร่งคว้าไว้
  • Convergence Commerce: รวมพลัง Offline-Online เข้าด้วยกัน
  • AI Personalization: ข้อมูลลูกค้า + AI = ขายตรงจุดแบบไม่รู้ตัว
  • Sustainable Retail: แบรนด์ที่ใส่ใจโลกมีแต้มต่อกับคนรุ่นใหม่

 

อย่ารอให้จีนปรับเรา… เราต้องปรับตัวก่อน

ไม่ใช่แค่แข่งขันกับจีน แต่ต้องรู้จัก “อยู่กับจีน” ให้ได้อย่างชาญฉลาด
สิ่งที่ธุรกิจไทยควรทำตอนนี้คือ
  • วางระบบให้ดี
  • รู้จักลูกค้าของตัวเองให้ลึก
  • กล้าเปลี่ยน แม้ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น
เพราะถ้าเราไม่ขยับ ตอนที่จีนยังบุกแค่ออนไลน์
วันหนึ่งเราอาจจะต้องยอมแพ้ในหน้าร้านของตัวเอง

 

อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่  We Bridge Marketing Solution

อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่กดคลิ๊กที่นี่ → We Bridge Marketing Solution
#บุกตลาดจีน #ตลาดจีน

Share with your network!
Facebook
Threads
X
LinkedIn