
ไทย-จีน อัปเกรดเส้นทางผลไม้! ยูนนานขึ้นแท่น “ศูนย์กลางนำเข้าผลไม้ไทย”
ผลไม้ไทยถือเป็น “สินค้าส่งออกตัวจริง” ของประเทศ โดยมีจีนเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่รับซื้อผลไม้สดจากไทยปีละหลายแสนล้านบาท ความสดใหม่ รสชาติหวานจัดจ้าน และชื่อเสียงระดับโลกของทุเรียน มังคุด มะม่วง หรือแม้แต่มะพร้าวน้ำหอม ทำให้ “ผลไม้ไทย” กลายเป็นที่หมายตาของผู้บริโภคจีน
แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ไม่ได้ง่ายเลย เพราะไทยกับจีน ไม่มีพรมแดนติดกันโดยตรง การจะส่งผลไม้เข้าไปขายในแดนมังกร จำเป็นต้องอาศัย “ประเทศที่สาม” เช่น ลาว เวียดนาม และเมียนมา เป็นเส้นทางผ่าน ทำให้ “ด่านศุลกากร” คือหัวใจสำคัญที่จะกำหนดว่า ผลไม้ไทยจะไปถึงชาวจีนได้เร็ว สด และคุณภาพยังเหมือนเดิมหรือไม่
จาก 2 เส้นทางหลัก สู่การขยายด่านใหม่
ในอดีต การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนอาศัย 2 เส้นทางหลักที่เคยทำพิธีสารร่วมกันไว้ ได้แก่
- R9 ผ่านลาว–เวียดนาม เข้าจีนที่กว่างซี (ปี 2552)
- R3A ผ่านลาว เข้าจีนที่มณฑลยูนนาน (ปี 2554)
ครอบคลุมผลไม้ไทยถึง 22 ชนิด ตั้งแต่ทุเรียน มังคุด มะม่วง ไปจนถึงลำไยและผลไม้ตระกูลส้ม แต่เมื่อการค้าขยายตัว รถบรรทุกผลไม้จำนวนมากไหลเข้าสู่ชายแดนจีน จนเกิดการจราจรติดขัด รถขนส่งหลายคันต้องรอหน้าด่านจนผลไม้เสียหาย สร้างความกังวลต่อทั้งผู้ประกอบการและเกษตรกรไทย
ไทย–จีนจึงจับมือกันแก้ปัญหา ด้วยการลงนาม “พิธีสารใหม่” เมื่อปี 2564 ขยายจำนวนด่านนำเข้า–ส่งออกผลไม้ระหว่างกันให้มากขึ้น
ดีลล่าสุด: เพิ่มด่านไทย–จีน เปิดเส้นทางผลไม้สะดวกกว่าเดิม!
ล่าสุด เดือนสิงหาคม 2568 กระทรวงเกษตรฯ ไทย และศุลกากรจีน ได้ตกลงปรับปรุงพิธีสารฯ อีกครั้ง โดยเพิ่ม ด่านใหม่รวม 5 ด่าน ได้แก่
- ด่านฝั่งไทย: ด่านทุ่งช้าง (น่าน), ด่านบ้านฮวก (พะเยา), ด่านภูดู่ (อุตรดิตถ์)
- ด่านฝั่งจีน (ยูนนาน): ด่านเหมิ่งคัง (ผ่านลาว), ด่านต่าลั่ว (ผ่านเมียนมา)
ส่งผลให้ มณฑลยูนนาน กลายเป็น “มณฑลที่มีด่านนำเข้าผลไม้ไทยมากที่สุด” ของจีน ครอบคลุมทางอากาศ ทางบก ทางราง และทางน้ำ รวมแล้วถึง 9 ด่าน จากทั้งหมด 11 ด่านในยูนนาน
ยูนนาน: ประตูยุทธศาสตร์ของผลไม้ไทย
การที่ยูนนานมีด่านผลไม้ไทยมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะยูนนานตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจีน เชื่อมโยงโดยตรงกับอาเซียน แถมยังเป็นจุดกระจายสินค้าสำคัญไปยังมณฑลตอนในของจีน
ตัวอย่างด่านสำคัญในยูนนาน:
- ทางอากาศ: ท่าอากาศยานคุนหมิง
- ทางน้ำ: ท่าเรือกวนเหล่ย (เชื่อมแม่น้ำโขง–ล้านช้างกับเชียงแสน)
- ทางบก: ด่านโม่ฮาน, ด่านเหมิ่งคัง, ด่านต่าลั่ว ฯลฯ
การมีเส้นทางที่หลากหลายแบบนี้ ช่วยให้ผู้ประกอบการเลือกขนส่งผลไม้ได้ตรงกับความต้องการ เช่น ต้องการความเร็วก็ใช้ทางอากาศ ต้องการลดต้นทุนก็ใช้ทางบกผ่านลาว–เมียนมา หรือแม้แต่ใช้ทางน้ำที่เชื่อมท่าเรือไทย–จีนโดยตรง
ทำไมการเพิ่ม “ด่าน” ถึงสำคัญ?
- ลดความแออัด – หากด่านหนึ่งติดขัด สามารถเลือกเส้นทางอื่นได้ทันที
- รักษาคุณภาพผลไม้ – ผลไม้สดเน่าเสียง่าย ด่านที่มากขึ้นช่วยให้ถึงมือผู้บริโภคได้เร็วขึ้น
- ลดต้นทุนผู้ส่งออก – ขนส่งสั้นลง ประหยัดค่าขนส่ง และลดการสูญเสียจากการรอหน้าด่าน
- เพิ่มทางเลือกตลาด – กระจายผลไม้ไทยไปยังเมืองต่าง ๆ ในจีนได้กว้างขึ้น ไม่กระจุกแค่กว่างโจวหรือเซี่ยงไฮ้
- ยกระดับการแข่งขัน – ไทยสามารถรักษาความได้เปรียบด้านผลไม้ท่ามกลางคู่แข่งจากเวียดนาม ลาว และกัมพูชา
โอกาสใหญ่ของผลไม้ไทยในตลาดจีน
ปี 2567 ไทยส่งออกผลไม้สดไปจีนมูลค่ากว่า 180,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มโตต่อเนื่อง การขยายด่านในครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่อง “โลจิสติกส์” แต่คือ “โอกาสใหม่” ที่จะทำให้ผลไม้ไทยเข้าถึงผู้บริโภคจีนได้รวดเร็วขึ้น และแข่งขันได้อย่างมั่นใจ
การเพิ่มด่านนำเข้า–ส่งออกผลไม้ไทย–จีน คือก้าวสำคัญที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ “เส้นทางการค้าเกษตร” ของไทย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดจีนยังคงเป็น “ขุมทรัพย์” สำหรับผลไม้ไทย
ยูนนานในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านของอาเซียน แต่กลายเป็น “ประตูทองคำ” ของผลไม้ไทยสู่แดนมังกร ที่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยต้องใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด