Starbucks ไม่หยุดโต! บุกตลาดจีนต่อเนื่อง ตั้งเป้า 9000 สาขาภายในปี 68 ชี้โอกาสแบรนด์ต่างชาติยังมีอีกมากในแดนมังกร
แม้จะเพิ่งผ่านช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากโควิด-19 แต่ประเทศจีนกลับยังเป็นตลาดที่หลายแบรนด์ยักษ์ระดับโลกมองว่า “ต้องอยู่” และ “ต้องรุก” อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด Starbucks แบรนด์กาแฟอันดับหนึ่งของโลก ประกาศแผนขยายสาขาในจีนเพิ่มเป็น 9,000 สาขา ภายในสิ้นปี 2568 จากปัจจุบันที่มีราว 6,500 สาขา
ข่าวนี้อาจฟังดูเป็นเพียงความเคลื่อนไหวของบริษัทข้ามชาติ แต่หากพิจารณาให้ลึกจะเห็นว่า Starbucks กำลัง “วางเกมใหญ่” สำหรับแดนมังกร และนี่อาจสะท้อนภาพที่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะในภาคการบริโภค
หลังโควิด จีนเริ่มกลับมา – Starbucks ไม่รอช้า
รายงานจากสำนักข่าว CNBC ซึ่งสัมภาษณ์ Laxman Narasimhan ซีอีโอของ Starbucks หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 4 ที่ “ดีกว่าคาด” ระบุว่า หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนรายได้คือ ยอดขายในประเทศจีนที่ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยสาขาเดิมในจีนมียอดขายเพิ่มขึ้น 5% ขณะที่จำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 8%
ย้อนกลับไปช่วงการระบาดของโควิด-19 จีนใช้มาตรการควบคุมที่เข้มข้นในรูปแบบ Zero-Covid ซึ่งทำให้การดำเนินธุรกิจของ Starbucks ในจีนหยุดชะงักในหลายพื้นที่ บางช่วงสาขาต้องปิดชั่วคราว ขายไม่ได้ แม้แต่ลูกค้าประจำก็หายเงียบ แต่ Starbucks กลับ ไม่ถอยออกจากตลาดจีน
วันนี้เมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับมา การเดินหน้าขยายสาขาเป็นสัญญาณว่า Starbucks มองเห็นศักยภาพในตลาดจีนระยะยาวอย่างแท้จริง
9,000 สาขาในจีน – แผนใหญ่ที่ยังมีที่ให้โตอีกมาก
Starbucks เริ่มเข้าสู่จีนตั้งแต่ปี 1999 หรือกว่า 24 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันมีสาขาครอบคลุมเมืองหลักและเมืองรองทั่วประเทศแล้วกว่า 6,500 สาขา อย่างไรก็ตาม หากมองจาก “พฤติกรรมการบริโภคกาแฟ” จะพบว่าตลาดนี้ยังไม่ถึงจุดอิ่มตัวเลยด้วยซ้ำ
- จีน: 12 แก้ว / คน / ปี
- ญี่ปุ่น: 280 แก้ว / คน / ปี
- สหรัฐฯ: 380 แก้ว / คน / ปี
ตัวเลขนี้สะท้อนว่า คนจีนยังไม่ดื่มกาแฟเป็นนิสัยในชีวิตประจำวันเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว แปลว่า โอกาสในการ “เปลี่ยนพฤติกรรม” ยังมีมหาศาล และใครที่สามารถปักหมุดในใจผู้บริโภคได้ก่อน ย่อมได้เปรียบในเกมนี้
อะไรทำให้ Starbucks มั่นใจในตลาดจีน?
- การเติบโตของชนชั้นกลาง
- จีนมีฐานคนรุ่นใหม่ในเมืองที่เติบโตเร็ว มีไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงชาวตะวันตกมากขึ้น และยินดีจ่ายเพื่อประสบการณ์และแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ดี
- ร้านกาแฟ = จุดนัดพบทางสังคม
- Starbucks ไม่ใช่แค่ร้านกาแฟ แต่คือ “พื้นที่ปลอดภัย” สำหรับคนรุ่นใหม่ในการพบปะ ทำงาน หรือใช้เวลาส่วนตัว
- ภาพลักษณ์พรีเมียมของแบรนด์ต่างชาติ
- แม้คนจีนจะมีความภาคภูมิใจในแบรนด์ท้องถิ่น แต่ในหมวดอาหาร-เครื่องดื่ม แบรนด์ต่างชาติยังคงได้รับการยอมรับสูง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และกลุ่มคนมีรายได้
- การบริหารแบบ Localization
- Starbucks ในจีนไม่ได้ใช้เมนูแบบอเมริกันอย่างเดียว แต่มีการออกแบบเครื่องดื่มและบรรยากาศร้านให้ตรงกับรสนิยมของผู้บริโภคจีน เช่น เครื่องดื่มชา เครื่องดื่มตามฤดูกาล ฯลฯ
โอกาสสำหรับธุรกิจไทยอยู่ตรงไหน?
การขยายตัวของ Starbucks เป็นเพียง “หนึ่งสัญญาณ” ว่าจีนกำลังกลับมาน่าลงทุนอีกครั้ง สำหรับธุรกิจไทย นี่อาจเป็นช่วงเวลาทองในการ “ขยายตลาด” หรือ “เจาะกลุ่มผู้บริโภคใหม่” ที่เริ่มกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม:
- สินค้าอาหาร-เครื่องดื่มที่มีคุณภาพและเรื่องราว (Storytelling)
- ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ความงาม สมุนไพร ที่เน้นคุณค่าแบบไทย
- สินค้าแฟชั่น – ไลฟ์สไตล์ – ของใช้ที่มีดีไซน์และวัฒนธรรมเฉพาะ
- บริการท่องเที่ยว โรงแรม คาเฟ่ ที่ต้องการดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมา
อย่าลืมว่า “คนจีนกลับมาแล้ว” ทั้งนักช้อป นักท่องเที่ยว และนักลงทุน การเคลื่อนไหวของแบรนด์ยักษ์อย่าง Starbucks คือสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ใครช้า อาจหลุดขบวน
Starbucks ไม่ได้แค่เปิดร้านขายกาแฟ แต่กำลัง “วางหมาก” เพื่อครองใจคนจีนในระยะยาวด้วยกลยุทธ์ที่คิดมาแล้วรอบด้าน จากเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้น ตัวเลขที่เริ่มดีขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มเปิดรับไลฟ์สไตล์อีกครั้ง
แบรนด์ไทยที่ต้องการเข้าสู่จีนจึงต้องคิดแบบเดียวกัน คือไม่ใช่แค่ “ไปขาย” แต่ต้อง “สร้างแบรนด์-สร้างประสบการณ์” ให้เหมาะกับวัฒนธรรมของผู้บริโภคจีนอย่างแท้จริง
เพราะตลาดจีนไม่ใช่แค่ “ใหญ่” แต่เป็นตลาดที่ “มีพลวัตสูง” และพร้อมเปลี่ยนแปลงเสมอ ใครตามทัน จะโต ใครตามไม่ทันอาจไม่มีที่ยืน
อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่ กดคลิ๊กที่นี่ → We Bridge Marketing Solution
