ปฏิวัติระบบโลจิสติกส์ยางพาราไทย ปั้นแบรนด์ RAOT เจาะตลาดจีน

กยท. บุก “ท่าเรือชิงเต่า” ศึกษาระบบอัตโนมัติระดับโลก ปั้นแบรนด์ “RAOT” สู่ตลาดยางพาราจีน

อุตสาหกรรมยางพาราไทยกำลังขยับครั้งใหญ่ เมื่อการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) นำโดย ดร.เพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายโกศล บุญคง รองผู้ว่าการด้านบริหาร และคณะผู้บริหารระดับสูง รวมถึงตัวแทนจากสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง เดินทางเยือน ท่าเรือชิงเต่า (Qingdao Port) มณฑลซานตง สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อศึกษา ระบบบริหารจัดการยางพาราด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ หนึ่งในโมเดลท่าเรือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลก

 

ยางพาราไทยจับตา “ชิงเต่า” ประตูสำคัญสู่ตลาดโลก

การเยือนครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเรียนรู้ระบบโลจิสติกส์ระดับโลก เพราะ ท่าเรือชิงเต่า คือศูนย์กลางการนำเข้า–ส่งออกยางพาราที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของจีน และเป็นจุดกระจายสินค้าหลักของอุตสาหกรรมยางแปรรูประดับโลก
 
ดร.เพิก เปิดเผยว่า การยางฯ มองเห็นศักยภาพมหาศาลของระบบบริหารจัดการท่าเรือชิงเต่า โดยเฉพาะ เทคโนโลยีอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (Automation System) ที่ถูกนำมาใช้ตลอดกระบวนการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลในด้านประสิทธิภาพ
 
“จากเดิมแรงงานคนสามารถขนถ่ายได้เพียง 17 ตู้ต่อชั่วโมง แต่ระบบอัตโนมัติสามารถเพิ่มได้ถึง 63 ตู้ต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 3 ปีหลังเริ่มใช้เทคโนโลยี” ดร.เพิก กล่าว
 
นั่นหมายความว่า เทคโนโลยีเช่นนี้คือ “กุญแจ” ที่จะยกระดับระบบโลจิสติกส์ของไทยให้ทันสมัย และแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยางพาราที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและความแม่นยำสูง

ปั้น “RAOT Brand” สู่ตลาดยางล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้

เป้าหมายของการยางฯ ในวันนี้ไม่ได้หยุดเพียงการผลิต แต่คือ การสร้างแบรนด์ “RAOT” ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลก
 
ดร.เพิก ระบุว่า กยท.กำลังผลักดันให้สถาบันเกษตรกรชาวสวนยางที่มีศักยภาพ เข้าร่วมระบบ ตลาดยางล่วงหน้าเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Futures Exchange) เพื่อเปิดประตูสู่การค้าระดับนานาชาติอย่างเป็นรูปธรรม
“เราต้องคิดและลงมือทำทันที เปลี่ยนวิธีทำงานจากผู้ส่งออกวัตถุดิบ เป็นผู้สร้างมาตรฐานและแบรนด์ระดับโลก เพื่อให้ยางพาราไทยกลับมาผงาดในตลาดโลกอีกครั้ง” ดร.เพิก กล่าว
 
แผนนี้จะช่วยให้สถาบันเกษตรกรไทยสามารถขายยางในรูปแบบที่มีมาตรฐาน โปร่งใส และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อทั่วโลก โดยเฉพาะในจีนซึ่งเป็นตลาดยางรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย

 

เรียนรู้ระบบ “Bonded Goods” ยาง 70,000 ตัน

อีกหนึ่งไฮไลต์ของการเยือนครั้งนี้ คือการศึกษาระบบ Bonded Goods หรือ “พื้นที่สินค้าทัณฑ์บน” ของท่าเรือชิงเต่า ซึ่งเป็นโซนพิเศษที่สามารถเก็บสินค้านำเข้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษีทันที ช่วยให้ผู้ประกอบการมีสภาพคล่องทางการเงินและสามารถหมุนเวียนสินค้าได้รวดเร็ว
 
ในพื้นที่นี้ มีการเก็บยางพารารวมกว่า 70,000 ตัน ทั้งจากแหล่งผลิตภายในจีนและจากต่างประเทศ ก่อนจะถูกกระจายไปยัง อุตสาหกรรมแปรรูปขนาดใหญ่ เช่น โรงงานผลิตยางล้อ ถุงมือยาง และผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงสำหรับกีฬา ซึ่งมียอดการใช้ยางมากถึง 350,000 ตันต่อเดือน
 
ระบบดังกล่าวช่วยให้การจัดเก็บและกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพสูง และเป็นโมเดลที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้ในการบริหารสินค้าการเกษตร โดยเฉพาะยางพารา ที่มีการซื้อขายต่อเนื่องและปริมาณสูง
 

ไทยต้องขยับ  จากผู้ผลิต สู่ผู้นำโลกยางพารา

การเยือนชิงเต่าครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพียงทริปศึกษาดูงาน แต่คือการ “วางรากฐานอนาคตของยางพาราไทย”
กยท.มองว่าการยกระดับสถาบันเกษตรกรให้มีความรู้ด้านโลจิสติกส์ การตลาด และเทคโนโลยี คือก้าวสำคัญในการผลักดันไทยสู่การเป็น “ศูนย์กลางยางพาราโลก”
 
หากสามารถผสานความเชี่ยวชาญของเกษตรกรไทย เข้ากับเทคโนโลยีระดับโลกแบบที่ท่าเรือชิงเต่ากำลังใช้ได้จริง ไทยจะไม่ใช่เพียง “ผู้ส่งออกยางรายใหญ่” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ผู้กำหนดมาตรฐาน” ของตลาดโลกอย่างแท้จริง

อยากปรึกษาเรื่องเจาะตลาดจีนด้วยการโฆษณาออนไลน์ เจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนจีนต้อง Baidu Search Engine #1 ของคนจีนที่มีผู้ใช้มากกว่า 1,700 ล้านคน ปรึกษาได้ที่กดคลิ๊กที่นี่ → We Bridge Marketing Solution
#บุกตลาดจีน #ตลาดจีน

Share with your network!
Facebook
Threads
X
LinkedIn