“กล่องสุ่ม Art Toy” จากจีน ปรากฏการณ์ใหม่ในไทย: จากของเล่นเฉพาะกลุ่ม สู่สมรภูมิธุรกิจนับร้อยล้าน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าใครเดินผ่านโซนของเล่นสะสมในห้าง จะสังเกตได้ว่ามี “กล่องเล็ก ๆ สีสันสดใส” เรียงรายเต็มชั้น พร้อมป้ายคำว่า Blind Box หรือ “กล่องสุ่ม Art Toy” ของเล่นสะสมที่กลายเป็นวัฒนธรรมย่อย (Subculture) ของคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจ่ายหลักร้อยถึงหลักพัน เพื่อ “ลุ้น” ตัวละครในฝันจากกล่องที่ไม่มีใครบอกได้ว่าข้างในคืออะไร
และสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้คือ… “เจ้าของตลาดกล่องสุ่มในไทยเกือบทั้งหมด” คือบริษัทจาก ประเทศจีน ที่ใช้โมเดลการตลาดและดีไซน์ระดับโลกเข้ามาครองใจนักสะสมไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จีนบุกตลาดไทยเต็มรูปแบบ: จากออนไลน์ สู่ช็อปจริงในห้างหรู
ช่วงแรก กล่องสุ่มจากจีนเข้ามาในไทยผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada หรือเว็บไซต์ทางการของค่ายต่าง ๆ โดยส่งตรงจากจีนแบบไม่ผ่านตัวแทนจำหน่าย
แต่ในเวลาไม่นาน ผู้เล่นรายใหญ่ของจีนก็เริ่มมองเห็น “พลังการซื้อ” ของตลาดไทย ประเทศที่มีฐานแฟน Art Toy เติบโตเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการ “บุกตลาดไทยแบบจริงจัง” ของหลายค่ายยักษ์จีน เช่น
- Pop Mart – เจ้าของคาแรกเตอร์ระดับโลกอย่าง Labubu, Molly, Crybaby, Dimoo, Skullpanda
- 52Toys – ค่าย Art Toy ที่จับมือกับลิขสิทธิ์ดัง เช่น Toy Story, Sanrio, ชินจังจอมแก่น
- Finding Unicorn (F.U.) – เจ้าของคาแรกเตอร์ Farmer Bob และ Rica ที่แฟนไทยรู้จักดี

Pop Mart: ยักษ์ใหญ่แห่งจักรวาล Art Toy
Pop Mart เข้ามาเปิด ช็อปอย่างเป็นทางการในไทยตั้งแต่ปี 2566 และเพียงปีเดียวก็สร้างรายได้ทะลุ 306 ล้านบาท พร้อมกำไรกว่า 73 ล้านบาท
ปัจจุบันมี 7 สาขาในไทย รวมทั้ง Pop Up Store ที่สยามเซ็นเตอร์ และงานนิทรรศการสุดครีเอต เช่น
- Ignite Our Dreams Private Collectible Showcase จาก Dimoo และ Hirono
- Hirono Bangkok Art Exhibition ที่เซ็นทรัลเวิลด์
- Labubu Concept Store ที่เมกาบางนา
- Space Molly Pop Up ที่สยามเซ็นเตอร์
ความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจาก “ของเล่น” แต่จาก กลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ (Experience Marketing) ที่เปลี่ยนการซื้อตุ๊กตาให้กลายเป็น “เหตุการณ์พิเศษในชีวิต” ของแฟน ๆ

52Toys และ Finding Unicorn: ผู้ท้าชิงจากจีนที่มาแรงไม่แพ้กัน
หลังจาก Pop Mart จุดกระแสขึ้นมาแรง ค่ายอื่น ๆ ก็เริ่มเดินเกมรุกในไทยอย่างจริงจัง
52Toys เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทยที่ The Emsphere พร้อมจัดนิทรรศการ Pop Up ในธีม Sleep POP-UP Event เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ให้แฟนชาวไทยได้สัมผัสของจริง
ขณะที่ Finding Unicorn เจ้าของ Farmer Bob ขยับเข้ามาเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กับงาน Finding Summer Land Hello! Bangkok — Pop Up Store ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขายสินค้าและทำตลาดเชิงลึกในไทย

กลยุทธ์ “สุ่ม” ที่ไม่ใช่แค่ดวง แต่คือจิตวิทยาการตลาดขั้นสูง
เบื้องหลังความฮิตของกล่องสุ่ม Art Toy คือการผสมผสานระหว่าง “ดีไซน์ศิลปะ” และ “จิตวิทยาผู้บริโภค” อย่างแยบยล
- Secret Figure – ตัวลับในตำนาน
- ทุกคอลเลกชันจะมีฟิกเกอร์พิเศษที่ “หายากมาก” หรือที่เรียกว่า Secret เพื่อกระตุ้นให้แฟนอยากซื้อเพิ่มเพื่อ “ลุ้นเจอตัวลับ”
- การขายยกกล่อง (Whole Set)
- นักสะสมสามารถซื้อยกกล่อง (โดยปกติ 12 กล่อง) เพื่อให้ได้ครบทุกแบบ — แต่บางครั้งก็ยังต้องลุ้นว่าจะมี Secret อยู่ด้วยหรือไม่
- กลยุทธ์ “น้ำหนักหลอก”
- ค่าย Finding Unicorn ใช้วิธีใส่ลูกบอลพลาสติกน้ำหนักต่างกันในแต่ละกล่อง ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเดาได้ว่ากล่องไหนมีตัวไหนอยู่ เพิ่มความตื่นเต้นและลดการโกงการสุ่ม
- การทำเวอร์ชัน Rare, Limited และ 200% Size
- เพื่อเปิดตลาดนักสะสมสายจริงจัง พร้อมเพิ่มมูลค่าตลาดรีเซล
จากงานอดิเรกสู่ตลาดรีเซลหลักล้าน
ความนิยมของ Art Toy ยังขยายไปถึงตลาด “รีเซล” ที่มีทั้งนักสะสมและพ่อค้าแม่ค้ารุ่นใหม่เข้ามาเล่นเกมนี้อย่างจริงจัง
บางคนเปิดกล่อง “เช็กการ์ด” เพื่อดูว่าข้างในเป็นฟิกเกอร์ตัวไหน แล้วนำมาขายต่อในราคาสูงกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะตัว Secret หรือ Rare ที่บางตัวมีมูลค่าพุ่งสูงกว่าราคากล่องถึง 10 เท่า
ทำไมตลาดไทยถึงเป็นเป้าหมายของค่ายจีน
- กำลังซื้อสูง + วัฒนธรรมการสะสมเข้มแข็ง
- คนไทยชอบสะสม ชอบสิ่งที่ “น่ารัก มีเรื่องราว และถ่ายรูปสวยลงโซเชียลได้”
- อิทธิพลจาก K-Pop และศิลปินไทยระดับโลก
- เช่น กรณี “ลิซ่า BLACKPINK” โพสต์ภาพกับ Labubu Macaron ทำให้ยอดขายพุ่งในเวลาไม่กี่วัน
- การขยายตลาดอาเซียนผ่านไทย
- ไทยกลายเป็นฐานสำคัญสำหรับบริษัทจีนที่ต้องการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
จากของเล่นในกล่อง สู่ “เศรษฐกิจคาแรกเตอร์”
กระแส Art Toy ไม่ได้หยุดแค่ของเล่น แต่กำลังกลายเป็นอุตสาหกรรม “Character Economy” เต็มรูปแบบ ที่สร้างรายได้จากทุกทิศทาง ของเล่น แฟชั่น NFT คอลแลบแบรนด์ และงานศิลปะ
และไทยอาจเป็น “สนามต่อไป” ที่บริษัทจีนใช้ทดสอบโมเดลธุรกิจผสมระหว่างของสะสม + ประสบการณ์ + การสร้างชุมชนแฟนคลับ
เพราะในที่สุด กล่องสุ่มอาจไม่ใช่แค่ “การสุ่มของเล่น”
แต่คือ “การสุ่มความสุข” ที่ถูกออกแบบมาให้ตรงใจผู้บริโภคยุคใหม่แบบพอดิบพอดี
ปรากฏการณ์ “กล่องสุ่ม Art Toy จากจีน” ในไทย คือการผสมระหว่างวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และกลยุทธ์การตลาดระดับโลก ที่ทำให้ของเล่นเล็ก ๆ กลายเป็นสินทรัพย์มูลค่าหลักร้อยล้าน
และสิ่งที่น่าจับตา คือ “รอบต่อไป” ของการพัฒนาในไทย
เมื่อแบรนด์จีนเริ่มวางรากฐานจริงจัง ทั้งในแง่ของการเปิดช็อป การจัดอีเวนต์ และการสร้างแบรนด์คาแรกเตอร์ที่คนไทยรู้จักตั้งแต่เด็กจนโต
ในอนาคต… ไทยอาจไม่ได้เป็นแค่ตลาดของนักสุ่ม
แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลาง Art Toy ของอาเซียน” ที่ผู้เล่นทั่วโลกจับตามอง





